เปิดตัวแล้วเปิดตัวอีก ไม่รู้กี่คลิปต่อกี่คลิป ท้ายสุด บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก็ประกาศก้องทั่วแผ่นฟ้าแบบออฟฟิเชี่ยลสักทีว่า “กระต่ายสายคพยายาม” ได้คว้าตัว ธีรศิลป์ แดงดา ศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งของทีมชาติไทย มาเข้าร่วมทัพเรียบร้อยโรงเรียน เอ้ย โรงงานบางกอกกล๊าส แล้ว
นับเป็นก้าวย่างที่ดุดันของถิ่นคทดลองสามจริงๆ ในปีนี้ ที่ดาหน้าเบิกงบจากคลัง “ลีโอ (สเตเดี้ยม)” คว้าผู้เล่นดีกรีท็อปคลาสประจำไทยลีกมาเข้าร่วมทีมได้พร้อมกันถึง 5 คน ในซีซั่นเดียว ทั้ง วิคเตอร์ คาร์โดโซ่, อันเดรส ตูเญซ, สารัช อยู่เย็น, ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้ และปัจจุบันนี้ คือ ธีรศิลป์ แดงดา
ซึ่ง 5 คนนี้ หยิบเป็นเยี่ยมในผู้เล่นที่ดีที่สุดของแต่ละตำแหน่งที่เล่น
ค่าย pg เปิด กี่ โมง ในศึกไทยลีกชั่วกับชั่วกัลป์เลยก็ว่าได้ และมีคุณค่าเหนื่อยรวมกัน ไม่น่าจะต่ำกว่า 4-5 ล้านบาทต่อเดือน เลยทีเดียว
แถมยิ่งกว่านั้นนี้ ยังได้ตัวผู้เล่นอันดับดีกลับจาก โออิตะ ทรินิตะ ในศึก เจ ลีก ญี่ปุ่น อย่าง ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ รวมถึงสอยนักเตะญี่ปุ่น ที่เคยค้าแข้งในบุนเดสลีกา เยอรมัน มาแล้วอย่าง มัตสึรุ มารุโอกะ ด้วย
ทำให้กลับกลายเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ และประสิทธิภาพกลุ่มโหดสุดๆ สมมูลค่าและราคาเต็งแชมป์ไทยลีก 2020-21 ที่ไม่ได้มองแค่แชมป์ในประเทศเพียงแค่นั้น
เพื่อ “เจ้ามุ้ย” ที่เพิ่งเดินทางถึงประเทศไทยได้ไม่ช้านาน และยังอยู่ช่วงการกักตัว 14 วัน ตามมาตรการของภาครัฐนั้น จะเป็น “บิ๊กเนม” ที่เป็น “จิ๊กซอว์” รายสุดท้าย ที่ “เสี่ยปวิณ ภิรมย์ภักดี” ดึงตัวเข้ามาต่อเติมทีม ให้ได้รูปร่าง “ซูเปอร์เพอร์เฟค” ในแบบที่ “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน ควรจะเป็นที่สุด
จะว่าไปแล้ว “บีจี” ก็คงจะเป็นสโมสรท้าทายยๆ แล้วในอาชีพการค้าแข้งของ ธีรศิลป์ แดงดา เนื่องจากตอนนี้ วัยของ ธีรศิลป์ นั้น ล่วงเลยมากระทั่งหลัก 32 ปี แล้ว
ไม่น่าเชื่อนะว่า เวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ แปปเดียวแค่นั้น จากเด็กกองหน้า ผอมๆ บางๆ ที่ถูกมองว่าเป็นเด็กเส้นด้วยเหตุว่ามีคุณพ่อเป็นนักฟุตบอลเก่าของทหารอากาศ (ประสิทธิ์ แดงดา) และได้ติดกลุ่มชาติชุดใหญ่ตั้งแต่เวลาที่ยังอายุแค่ 19 ปี แถมยังได้ลงเล่นรายการที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชียอีก (เอเชี่ยนคัพ 2007)
ทันทีที่เห็น “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย กองหน้าฆ่าไม่ตายสลัดคราบ “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี ไปสวมเครื่องแบบของ “มังกรโล่เงิน” โปลิศ เทโร เอฟซี ท่อนฮุกเพลง “14 อีกสักรอบ” จากชุด “โลโซ ปกแดง” แล่นผ่านโสตประสาทขึ้นมาในทันที
จากเด็กหนุ่มวัย 19 กะรัต ที่เซ็นคำสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพฉบับแรกกับทีม บีอีซี เทโรศาสน ในเวลานั้น ผ่านร้อนผ่านหนาวบนเส้นทางลูกหนังมาอย่างโชกโชน ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้กลับสู่บ้านอันอบอุ่นอีกครั้งในวัย 35 ปี พร้อมกับเสื้อเบอร์ 14 อันรู้จักดี
ซึ่งก่อนที่จะมาซบตัก “โปลิศ เทโร เอฟซี” ทาง “ชลบุรี เอฟซี” เปิดไฟเขียวให้ “ลีซอ” ย้ายไป อยุธยา ยูไนเต็ด กลุ่มในศึก M-150 แชมเปี้ยนส์ชิพ เพื่อที่จะเพิ่มเติมอีกโอกาสลงโชว์เพลงแข้งอย่างต่อเนื่อง ดังที่หัวหอกจอมเสยผมควรจะเป็น
ประกอบกับทาง ชลบุรี เอฟซี เองพยายามผลักดันนักเตะอายุบางส่วนขึ้นมาเป็นแกนหลักในภายภาคหน้า และอุตสาหะปลดปล่อยนักเตะอายุเกิน 30 ปี ออกไปจากทีม เพื่อจะลดสิ่งที่ต้องรับผิดชอบค่าแรงต่อเดือนหลากหลายแสนที่สโมสรแบกอยู่ด้วย
ด้วยเหตุดังกล่าวการเลือกเฟ้นสวมคอนเวิร์สเดินคนละทางนำมาซึ่งการทำให้วินวินกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่ทว่าท้ายที่สุดดีลข้างต้นดันล่มไปก่อน และเป็น “โปลิศ เทโร เอฟซี” ที่กำลังพบเจอปัญหาแนวรุก เพราะ อาทิตย์ บุตรจินดา หัวหอกตัวหลักยังอยู่ในตอนการเรียกความฟิต และ โมฮามาดู ซูมาเรห์ หัวหอกกลุ่มชาติมาเลเซีย จัดเตรียมโบกมืออำลาทีมไปในเลก 2 กระชากสมัยก่อนดาวยิงฉายา “เจ้าชายมังกรไฟ” เข้ามาเข้าร่วมกลุ่มทันที
โดยสภาพร่างกายของ “ลีซอ” แม้ยังฟิตปั๋ง สามารถลงเล่น 90 นาที ได้สะดวกๆ แถมเรื่องราวที่ผ่านมาเต็มกระเป๋า แต่สภาวะทีมของ “มังกรโล่เงิน” ในขณะนี้ ควรจะเป็นคนที่จะมายิงประตูและยกฐานะกลุ่ม เพื่อไม่ให้กลุ่มจำเป็นจะต้องหนีตกชั้นเชิงในเลก 2
ด้วยประการฉะนี้ “ลีซอ” จะต้องตอบแทน “มังกรโล่เงิน” อย่างสาสม ด้วยการยิงประตู ทำแอสซิสต์ และเลื่อนตำแหน่งทีมให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อที่จะไม่ให้ดีลนี้เป็นการ ตำน้ำพริก ละลายแม่น้ำ
เป็นอีกสักครั้งที่ผมเขียนงานเกี่ยวกับสโมสร โปลิศ เทโร เอฟซี หรือ บีอีซี เทโรศาสน อันยิ่งใหญ่ในสมัยก่อน แล้วอดไม่ได้ที่จะใช้เนื้อเพลง “หัวใจมังกร No.12” มาเป็นชื่อบันทึกเรื่องเล่า
เนื่องจากว่านี่คือ… เพลงประจำสโมสรที่ผมชอบจำนวนเยอะที่สุดเพลงหนึ่งของเมืองไทย ด้วยเนื้อเพลงสละสลวย ชัดเจนแจ่มแจ้ง นุ่มนวล ไพพวกเราะ และกินใจอยู่เป็นประจำ เมื่อได้ฟังเหล่า “มังกรไฟ นัมเบอร์ 12” ยืนร้องเปล่งเสียงเชียร์กลุ่มรักอยู่ข้างสนาม
“จับมือเดินไป ไต่ตามโค้งฝัน ร้อยใจเรียงเคียงกัน ฝันเคียงกาย หลอมวิญญาณรวมกัน ใจผูกพันมิหน่าย ตราบดินฟ้ามลาย… แด่ใจมังกร” ซึ่งเนื้อหาของเพลงช่างเข้ากันกับเหตุการณ์ของทีมในตอนนี้เสียเหลือเกิน
จากกลุ่มที่เปิดตัวขั้นแรก อยู่ด้านในกลุ่มลุ้นพื้นที่โควตา เอเอฟซี แดูเปี้ยนส์ ลีก โดยสี่เกมแรก “มังกรโล่เงิน” เก็บได้ถึง 9 แต้ม จากการเก็บชัยชนะได้ทั้งเกมที่เจอกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, สมุทรปราการ ซิตี้ และ ตราด เอฟซี
ก่อนที่จะพักผ่อนเบรกช่วงสถานการณ์การแพร่กระจายของโรค โควิด-19 กว่า 6 เดือนเต็ม และจะต้องสูญเสียสองกำลังหลักในแนวรับอย่าง “คู่แฝดอักษรศรี” ทิตาวีร์ กับ ทิตาธร อักษรศรี นั่นก็นำมาซึ่งการทำให้ “มังกรโล่เงิน” แบบฟอร์มเริ่มแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าไม่นับเกมที่ได้สามแต้ม จากสถานะการณ์ไฟดับในสนาม แพท สเตเดี้ยม ที่เป็นต้นสายปลายเหตุให้ “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ถูกปรับแพ้ โปลิศ เทโร 0-2
หมวดเขาชนะได้แค่ 1 เกมเพียงแค่นั้น ที่เปิดบ้านเฉือนกลุ่มโซนตกระดับอย่าง ระยอง เอฟซี 1-0 โดยได้ประตูชัยในตอนท้ายเกม ส่วนที่เหลืออีก 9 นัด หมวดหมู่เขาแพ้ไป 5 นัด และเสมออีก 4 นัด ทำให้ปัจจุบันนี้มีแค่ 19 คะแนนเพียงแค่นั้น เมื่อจบเลกแรกของซีซั่น 2020-21
19 คะแนน แม้ว่าจะยังอยู่ภายในดีกรีที่ 11 แต่ก็เริ่มมีอาการร้อนๆ หนาวๆ แล้ว ด้วยเหตุว่านำหน้าทีมในโซนตกเกรดแค่ 5 คะแนนแค่นั้น เพราะ พีที ประจวบ เอฟซี ที่อยู่ภายในลำดับชั้นที่ 14 นั้น มีอยู่ 14 คะแนน ถ้าเป็นเช่นนี้ถัดไป ชั่วร้ายแน่ครับผม และคงจึงควรหนีตกลำดับขั้นในตอนท้ายซีซั่น พร้อมทั้งมีความสุ่มเสี่ยงที่จึงต้องควรตกชั้นลงไปสู่ T2 อีกที
