กินหมู…มิได้ส่งผลให้หูดับ แต่ถ้ากินหมูดิบ หรือ กึ่งสุกกึ่งดิบ คุณเสี่ยงกับ โรคไข้หูดับ อันตรายถึงชีวิตได้ โรคไข้หูดับ เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในด้านเดินขาดหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ
1. มีต้นเหตุที่เกิดจากการบริโภคเนื้อและเลือดหมูที่ปรุงแบบดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ 2. การรับรู้กับหมูที่ติดเชื้อทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมูที่เป็นโรค จากทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา หรือรู้สึกเลือดของหมูที่กำลังป่วย
ผู้ปรุงอาหาร ผู้เลี้ยง และผู้ชำแหละหมูที่มีบาดแผล เคยฝากรับ60ไม่เคยฝากรับ50 ต้องปิดแผลและสวมถุงมือทุกครั้งขณะรับรู้เนื้อหมู หากรับรู้ต้องล้างมือ ล้างเท้าทาย และล้างตัวให้สะอาด
คนซื้อควรที่จะทำการเลือกซื้อเนื้อหมูจากตลาดสดหรือโรงฆ่าสัตว์ที่ได้มาตรฐาน ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ และ -ควรจะส่งผลให้สุกด้วยอุณหภูมิตั้งแต่ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป

คนจำนวนไม่น้อยโดยมากจะเคยเป็นหรือปรากฏคนไหนมีอาการหน้ามืด วูบ หมดสติ ซึ่งมีได้หลากหลายสาต้นสายปลายเหตุ คงจะกำเนิดขึ้นในช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลีย พักผ่อนนิดหน่อย ยืนตากแดดยาวนาน ๆ หรือมีการสูญเสียน้ำหรือเกลือแร่ในร่างกาย ตัวอย่างเช่น เสียเหงื่อมาก หรือท้องเสียรุนแรง บางคนคงจะมีลักษณะอาการหลังจากที่ได้ใช้ยาลดความดัน ยาที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ก็สามารถนำไปสู่อาการหน้ามืด หมดสติได้
แต่อาการที่ดูเหมือนจะพบเจอได้ทั่วไปนั้น อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น โรคหัวใจ หรือ โรคทางความคิดหรือส่วนที่ใช้ในการคิด พวกเราจำเป็นที่จะต้องระวัง และทำความเข้าใจอาการพวกนี้ให้ดี จะได้ทราบเคล็ดลับปกป้อง และเพิ่มอีกจังหวะรอดชีวิตได้
วูบ หน้ามืด คือ ภาวะหมดสติหรือเกือบหมดสติ ที่อาจกำเนิดขึ้นชั่วคเหมือนกับหรือเป็นเวลานานก็ได้เช่นกัน ในแง่การแพทย์จะเรียกว่า อาการลมวูบหมดสติ (Syncope) ผู้ป่วยจะรู้สึกหน้ามืด จะเป็นลม ตาลาย มองไม่แสดงตัวรูปแน่ชัด
มักมีสาต้นเหตุมีเหตุมาจากเลือดไปเลี้ยงส่วนที่ใช้ในการประมวลผลไม่พอ บางรายมีเหตุมาจากอาการชัก หรือระบบหูชั้นเชิงในมีข้อขัดแย้ง ส่งผลให้เสียการทรงตัวหรือวิงเวียน อาการกลุ่มนี้ ถ้าไม่ระวัง ผู้ป่วยคงล้มลงศีรษะกระแทกพื้นได้รับบาดปวดได้
ส่วนภาวะหมดสติ (Unconsciousness) คือ ภาวะที่ร่างกายไม่มีการรับรู้แบบอย่างต่อเนื่อง ไม่รับรู้ต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีตอบสนองต่อการกระตุ้นใด ๆ โดยโดยมากแล้ว ภาวะหมดสติ มักมาจากสาต้นสายปลายเหตุที่ร้ายแรง ก็เลยควรนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วทันใจที่สุด
ถ้าชมเพียงผิวเผิน อาการเป็นลมทั่วไป กับอาการเป็นลมที่มาจากสาต้นสายปลายเหตุอันตรายร้ายแรงคงชมเหมือนๆกัน ถ้าไม่ได้พิจารณาโดยละเอียด แล้วกระทำปฐมพยาบาลรากฐานให้ดีพอ หรือส่งต่อจากนี้ไปยังโรงพยาบาลล่าช้า อาจจะมีผลถึงชีวิตได้
ผู้ป่วยที่เป็นลมทั่วไป จะมีความรู้และมีความเข้าใจสึกใจหวิว ๆ ทรงตัวไม่ไหว บางรายถ้าหมดสติอยู่ จะใช้ขณะไม่นาน โดยประมาณ 1- 2 นาทีก็ฟื้นได้ บางรายจะมีอาการเตือนล่วงหน้า เช่น สัมผัสหนักศีรษะ สัมผัสโคลงเคลง ไร้แรงประคองตัว ตามัวลง หรือมองเห็นภาพเป็นจุด เป็นต้น แล้วจึงเริ่มต้นมีอาการวูบหรือเป็นลม
สมัยยุคนี้ โรคออฟฟิศซินโดรม (office syndrome) ดูจะเป็นโรคที่คนยุคใหม่เป็นกันมากพอสมควร ด้วยความประพฤติการปฏิบัติการและการใช้ชีวิตที่แปรไป เราไม่ค่อยมุ่งเน้นการยืน เดิน ขยับเขยื้อน หรือออกแรงเหมือนคราวก่อน แปรเปลี่ยนเป็นการนั่งหน้าComputer หรือก้มดูมือถือช้านาน ๆ แทน
อาการออฟฟิศซินโดรม ขั้นแรกคือ สัมผัสปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ สะบัก และรอบๆข้างหลัง การนวดคงจะจะช่วยทำให้ดีขึ้นได้ แต่ผ่านไปสักระยะหนึ่งก็จะกลับมาเป็นอีก และเป็นเรื้อรังเพิ่มขึ้น หากไม่ให้ความสนใจไว้ โดยไม่มาตรวจหาสาเหตุและกระทำรักษา อาจลุกลามจนเป็นโรคไมเกรน หรืออาจเกิดโรคทางระบบกระชมกและกล้ามเนื้อที่รุนแรงขึ้นตามมาได้
บทความนี้จะพาเราเจาะลึกโรคที่ได้รับความนิยมจำพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นต้นเหตุ อาการ พร้อมขั้นตอนการรักษาอย่างถูกต้องแม่นยำ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ตั้งแต่เคล็ดวิธีปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมและการกระทำให้สมควร การออกกำลังกาย ไปกระทั่งแนวทางการทำกายภาเผชิญำบัด พร้อมอัปเดตเทคโนโลยีการรักษาล่าสุดที่คุณจึงควรรู้
ออฟฟิศซินโดรม (office syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด รวมถึงลักษณะของการปวดหรือชาจากอาการอักเสบจากเนื้อเยื่อและเอ็น มักเกิดขึ้นอยู่กับกลุ่มอายุจัดการงานที่จะต้องนั่งดำเนินการงานในออฟฟิศหรือทำงานโดยใช้computerและโทรศัพท์มือถือเป็นประจำ
ออฟฟิศซินโดรม มักเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการใช้งานกล้ามเนื้อมัดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ไม่ค่อยได้เปลี่ยนลักษณะท่าทาง รวมถึงอิริยาบถที่ไม่สมควร ดังเช่น การนั่งไขว่ห้างเป็นประจำ การนั่งตัวงอ หรือการก้มหน้ายาวนาน ๆ ฯลฯ ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานซ้ำ ๆ เกิดการหดเกร็ง หรือยืดค้างในต้นแบบเดิมหลายครั้ง ๆ จนกล้ามเนื้อมัดนั้น ๆ เกิดการบาดปวด หรือคงจะขมวดเป็นก้อนตึง และกำเนิดลักษณะของการปวดตามมา
กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ในร่างกายของเรามีหน้าตาเป็นเส้นใยร้อยโยงต่อเนื่องกันหลายส่วน เมื่อกล้ามเนื้อเริ่มมีการขมวดกันเป็นปมขึ้น ก็ดึงรั้งกันไปมา อันดับแรกอาการปวดตึงอาจจะจะเริ่มจากจุดหนึ่ง แต่พอช้านานวันเข้าก็จะร้าวไปเจ็บปวดอีกจุดหนึ่ง เนื่องด้วยถูกดึงรั้งจากกล้ามเนื้อส่วนที่หดเกร็ง รู้ตัวอีกสักทีก็จะเจ็บปวดเป็นรอบๆกว้างใหญ่ ๆ เฉพาะเจาะจงหาตำแหน่งที่เจ็บปวดจริง ๆ ไม่ได้เลย
ธรรมชาติของคนดำเนินงานประจำในสมัยนี้ โดยส่วนมากจะเปลี่ยนแปลงความประพฤติปฏิบัติการดำเนินงานได้ยาก เนื่องด้วยจึงควรโฟกัสกับงานที่ทำ หรือยุ่งจนเผลอปรับเปลี่ยนบุคลิกและยุติพักผ่อน บ่อยครั้งก็เลยปลดปล่อยให้อาการของโรคนี้มีลักษณะอาการหนักมากขึ้น หรือลุกลามไปยังกล้ามเนื้อและระบบประสาทส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวโยงกัน
ถ้าปลดปล่อยไว้โดยไม่รักษา มั๊ยปรับเปลี่ยนความประพฤติปฏิบัติ ก็คงจะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอันตรายตามมา เป็นต้นว่า เสี่ยงต่อการเกิดหมอนรองกระชมกทับเส้นประสาท กระดูกสันหลังคด และแขนขาอ่อนแรงอีกต่างหาก
การผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric surgery) คือ การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดขนาดกระเพาะให้เล็กลง หรือลดการดูดซึมของกระเพาะอาหาร สามารถเรียกได้ว่าเป็นการผ่าตัดเพื่อจะรักษาโรคอ้วน เนื่องด้วยว่าในกระเพาะอาหารของพวกเรามีฮอร์โมนชนิดนึงที่กระตุ้นให้เกิดความปรารถนาอาหาร เมื่อพวกเราผ่าตัดลดขนาดกระเพาะลงก็จะตัดส่วนที่มีฮอร์โมนจำพวกนี้ออกไปด้วย และเมื่อฮอร์โมนนี้น้อยลง ก็จะมีผลให้ความต้องการอาหารลดลงไป
การผ่าตัดลดน้ำหนักนี้จะทำให้ทานอาหารได้ลดน้อยลงมากในช่วงแรก แต่จะไม่ทรมาน ด้วยเหตุว่าฮอร์โมนและความอยากอาหารก็ลดน้อยลงตามไปด้วย
ความเครียดในช่วงโควิด 19 แพร่ระบาด เป็นอีกอุปสรรคใหญ่ที่ผู้คนจำนวนมากจะต้องประสบ ไม่ว่าจะเป็นความกลุ้มอกกลุ้มใจเรื่องรายได้ เรื่องสถานการณ์การแพร่กระจาย ปัญหาเรื่องสภาพดวงใจตอนที่ work from home เนื่องมาจากไม่สามารถที่จะ cut off หรือจำแนกสถานที่จัดการงานออกจากบ้านได้ บ่งชี้สึกเหมือนมิได้พักผ่อนอย่างแท้จริง
จะต้องยอมรับว่าพวกเราอยู่กับภาวะโรคระบาดมายาวนานตั้งแต่ต้นปี 2563 แล้ว ทำให้เกิดผลเสียต่อทุกคนในโลกใบนี้จำนวนไม่น้อย ผลกระทบทางดิ่งที่เรารู้กันดีอยู่แล้วคือ การมีผู้ติดเชื้อ แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับผลพวงทางลบจากการกระจายไม่มากก็นิดหน่อย นั่นก็คือหมู่ที่ถูกบังคับให้ควรต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปโดยสิ้นเชิง
ผลกระทบทางอ้อมที่มีต้นเหตุมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 คือ ภาวะความเครียดเรื้อรัง จะมากหรือนิดหน่อยนั้นขึ้นกับการปรับตัว ว่าพวกเราจะปรับตัวกันได้ดิบได้ดีแค่ไหน ยิ่งไม่อาจจะทำใจให้เป็นทั่วไปยอมรับและปรับตัวตามความปรับเปลี่ยนได้ ก็จะเกิดภาวะเครียด วิตกไม่ค่อยสบายใจ หรือแม้กระทั้งเกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นได้
แน่นอนว่า ถ้าหากเป็นผู้ติดเชื้อ ย่อมจะต้องทำตามตามมาตรการเพื่อที่จะลดการกระจายของประเทศนั้น ๆ อยู่แล้ว ก็เลยเป็นสภาวะบังคับให้จึงควรปรับตัวอย่างช่วยมิได้ เพราะเหตุว่าโดยทันทีที่เผชิญเชื้อ ก็จำเป็นจะต้องเข้าสู่ระบบการรักษาเป็นตอนนาน ๆ อย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์ จะต้องปรับความประพฤติจำนวนไม่น้อย และเจอหน้ากับความกลัวต่าง ๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว
ลักษณะการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ไม่เหมือนกับการรักษาทั่วๆไป ต้องแยกตัวอยู่คนเดียวในห้อง สวมใส่ชุดปกป้องที่ต้องปกปิดสีหน้าท่าทาง แยกห่างจากหมอและพยาบาล ไม่สามารถให้บุคคลสนิทสนมหรือญาติสนิทเข้าไปดีเลิศได้ ทำให้ผู้ป่วยโควิดรับรู้โดดเดี่ยว